หนังสือเดินทาง people holding passports coronavirus vaccination card map travel with luggage trip covid 19 around world scaled พาสปอร์ต วีซ่า

เดินทางเข้าอเมริกา 2568 ทรัมป์แบน 12ชาติเข้าสหรัฐฯ 2025

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งการเดินทางฉบับใหม่ที่กำลังจะพลิกโฉมหน้าพรมแดนของสหรัฐอเมริกาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คำสั่งนี้ไม่ใช่แค่การปรับเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เป็นความพยายามครั้งสำคัญในการกำหนดทิศทางใหม่ของการเคลื่อนย้ายผู้คนทั่วโลก และอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้คนนับล้านที่ใฝ่ฝันจะเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ ไม่ว่าจะเพื่อย้ายถิ่นฐาน ทำงาน ศึกษา หรือแม้แต่ท่องเที่ยว

คำประกาศของประธานาธิบดีที่ออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ พุ่งเป้าไปที่พลเมืองจากกว่า 12 ประเทศ โดยการห้ามการเดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยสมบูรณ์ นี่คือหนึ่งในมาตรการที่เข้มข้นที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อการเดินทางระหว่างประเทศ และทำให้เราต้องมาทำความเข้าใจกันอย่างละเอียดว่า “คำสั่งห้ามเดินทาง” ฉบับนี้คืออะไร ใครได้รับผลกระทบ และอนาคตของการเดินทางสู่สหรัฐฯ จะเป็นอย่างไรต่อไป


แกะรอย “คำสั่งห้ามเดินทาง” ฉบับใหม่ของทรัมป์

คำสั่งห้ามเดินทางคืออะไร?

เมื่อพูดถึง “คำสั่งห้ามเดินทาง” หลายคนอาจจะนึกถึงภาพการปิดพรมแดนโดยสมบูรณ์ แต่จริง ๆ แล้ว คำสั่งเหล่านี้คือมาตรการที่จำกัดหรือห้ามพลเมืองจากประเทศใดประเทศหนึ่งเดินทางเข้าสู่สหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่การระงับวีซ่าทุกประเภทไปจนถึงการจำกัดเฉพาะวีซ่าบางชนิดเท่านั้น

คำสั่งห้ามเดินทางของทรัมป์ในอดีตก็เคยสร้างความฮือฮามาแล้ว และคำสั่งล่าสุดนี้ก็เช่นกัน คำสั่งฝ่ายบริหารวันแรกของทรัมป์ได้กำหนดให้กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ต้องประเมินและระบุประเทศที่มีข้อมูลการคัดกรองที่บกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในการออกหนังสือเดินทางหรือการตรวจสอบประวัติพลเมืองที่เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ตัดสินใจระงับการรับพลเมืองจากประเทศเหล่านั้นทั้งหมดหรือบางส่วน

คำประกาศห้ามเดินทางฉบับนี้ยังอ้างอิงถึงคำสั่งฝ่ายบริหารก่อนหน้านี้ รวมถึงการโจมตีล่าสุดโดยพลเมืองอียิปต์ในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด ซึ่งพุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องให้ปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลในฉนวนกาซา สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำถึงความกังวลด้านความมั่นคงที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้

ประกาศของประธานาธิบดี: อำนาจและผลกระทบ

หลายคนอาจสงสัยว่า “ประกาศของประธานาธิบดี” แตกต่างจาก “คำสั่งฝ่ายบริหาร” อย่างไร คำสั่งฝ่ายบริหารคือคำสั่งโดยตรงไปยังหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ ในฝ่ายบริหาร เพื่อให้ดำเนินการตามนโยบายที่กำหนดไว้ ในทางกลับกัน ประกาศของประธานาธิบดีมักจะเป็นคำสั่งเชิงพิธีการ หรืออาจมีผลทางกฎหมายเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ

สำหรับคำสั่งห้ามเดินทางครั้งนี้ ประกาศของประธานาธิบดีไม่ได้เป็นเพียงการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายในวงกว้างเท่านั้น แต่ยังเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการถึงข้อจำกัดใหม่ ๆ ที่จะมีผลบังคับใช้จริง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากที่วางแผนจะเดินทางเข้าสหรัฐฯ


เปิดโผ 12 ประเทศเป้าหมาย: ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ?

นี่คือประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจมากที่สุด ประเทศใดบ้างที่ถูกสหรัฐฯ ห้ามเดินทางเข้าโดยสมบูรณ์?

รายชื่อประเทศที่ถูกห้ามเดินทางโดยสมบูรณ์

ตามประกาศของประธานาธิบดี ประเทศต่อไปนี้ถูกระบุว่าพลเมืองทุกคนที่ต้องการเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางการย้ายถิ่นฐานหรือไม่ใช่การย้ายถิ่นฐาน จะถูกห้ามโดยสิ้นเชิง:

  • อัฟกานิสถาน
  • เมียนมา
  • ชาด
  • สาธารณรัฐคองโก
  • อิเควทอเรียลกินี
  • เอริเทรีย
  • เฮติ
  • อิหร่าน
  • ลิเบีย
  • โซมาเลีย
  • ซูดาน
  • เยเมน

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังจำกัดการเดินทางของผู้คนบางส่วนจากประเทศต่อไปนี้:

  • บุรุนดี
  • คิวบา
  • ลาว
  • เซียร์ราลีโอน
  • โตโก
  • เติร์กเมนิสถาน
  • เวเนซุเอลา

เหตุผลเบื้องหลังการเลือกประเทศเหล่านี้

คำประกาศดังกล่าวอ้างถึง ปัญหาความมั่นคงของชาติ โดยรวม แต่ก็ระบุปัญหาที่แตกต่างกันหลายประเด็นที่เข้าข่ายเป็นข้อกังวลเกี่ยวกับการห้ามเดินทาง:

ปัญหาด้านการคัดกรองหนังสือเดินทาง

สำหรับบางประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน, เอริเทรีย, โซมาเลีย, ซูดาน, เยเมน, ลิเบีย, และ เวเนซุเอลา ประกาศระบุว่า ไม่มีหน่วยงานกลางที่เชื่อถือได้ในการออกหนังสือเดินทางหรือคัดกรองพลเมืองที่เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งเป็นข้อกังวลอย่างยิ่งในด้านความปลอดภัย

อัตราการอยู่เกินกำหนดวีซ่าที่สูง

สำหรับประเทศอื่น ๆ เช่น เมียนมา, ชาด, สาธารณรัฐคองโก, อิเควทอเรียลกินี, เอริเทรีย, เฮติ, บุรุนดี, ลาว, เซียร์ราลีโอน, โตโก, และ เติร์กเมนิสถาน คำประกาศดังกล่าวระบุถึง อัตราผู้อพยพที่อยู่เกินกำหนดวีซ่าในสหรัฐฯ ที่สูง ซึ่งเป็นสัญญาณของความไม่สามารถควบคุมการเข้าออกของประชากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความกังวลด้านกิจกรรมก่อการร้าย

นอกจากนี้ ยังมีหลายประเทศที่ถูกรวมอยู่ในรายการเนื่องจาก กิจกรรมก่อการร้ายหรือการก่อการร้ายที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ซึ่งรวมถึง อิหร่าน, อัฟกานิสถาน, ลิเบีย, โซมาเลีย, และ คิวบา นี่คือเหตุผลด้านความมั่นคงที่ชัดเจนและเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความปลอดภัยของสหรัฐฯ


เปรียบเทียบ: คำสั่งห้ามเดินทางปี 2017 vs. ปี 2025

หลายคนคงจำคำสั่งห้ามเดินทางครั้งแรกของทรัมป์ในปี 2017 ได้ดี แล้วคำสั่งใหม่นี้แตกต่างจากครั้งก่อนอย่างไร?

จุดมุ่งหมายและขอบเขตที่แตกต่างกัน

คำสั่งห้ามในปี 2017 มีเป้าหมายหลักไปที่ ประเทศมุสลิม 7 ประเทศ ก่อนที่จะขยายขอบเขตไปถึงเกาหลีเหนือและเวเนซุเอลาในภายหลัง ในทางกลับกัน คำสั่งใหม่นี้มีขอบเขตกว้างขึ้นมาก และยังรวมถึงประเทศอย่างเฮติด้วย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแนวคิดด้านความมั่นคงของทรัมป์ได้ขยายไปไกลกว่าประเด็นทางศาสนาอย่างเห็นได้ชัด

การขยายกลุ่มเป้าหมาย

การเพิ่มจำนวนประเทศในบัญชีดำ และการระบุเหตุผลที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการคัดกรอง อัตราการอยู่เกินวีซ่า หรือความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย แสดงให้เห็นถึง ความพยายามที่จะปิดช่องโหว่ด้านความมั่นคงในทุกมิติ และควบคุมการเข้าออกของประชากรต่างชาติอย่างเข้มงวดมากขึ้น


มุมมองและการวิเคราะห์: ผลกระทบต่อผู้คนและเศรษฐกิจ

คำสั่งห้ามเดินทางฉบับใหม่นี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงนโยบายบนกระดาษ แต่จะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อผู้คนนับล้าน และอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ด้วย

ผลกระทบต่อผู้อพยพและผู้ที่ต้องการตั้งถิ่นฐาน

สำหรับผู้ที่ใฝ่ฝันจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสหรัฐฯ หรือผู้ที่กำลังอยู่ในกระบวนการย้ายถิ่นฐาน คำสั่งนี้เปรียบเสมือนกำแพงที่สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ความหวังของพวกเขาเลือนลางลงอย่างมาก คนเหล่านี้มักจะเผชิญกับความยากลำบากอยู่แล้ว และคำสั่งนี้ยิ่งซ้ำเติมให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก

ความท้าทายในการเดินทางเพื่อการทำงานและศึกษา

ไม่ใช่แค่ผู้อพยพเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ นักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่ต้องการเดินทางไปทำงานในสหรัฐฯ จากประเทศที่ถูกห้าม ก็จะต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่เคยมีมาก่อน การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและอาชีพในสหรัฐฯ จะกลายเป็นเรื่องที่ยากยิ่งขึ้น

ผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว

แม้ว่าคำสั่งนี้จะเน้นไปที่การย้ายถิ่นฐานเป็นหลัก แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของสหรัฐฯ ได้เช่นกัน โดยเฉพาะจากประเทศที่ถูกจำกัดการเดินทางบางส่วน ความกังวลและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้ผู้คนลังเลที่จะเดินทางไปสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยว

เสียงสะท้อนจากนานาชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชน

แน่นอนว่าคำสั่งนี้ไม่ได้ผ่านไปโดยไร้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ องค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับ ประเด็นด้านมนุษยธรรม และความชอบธรรมของคำสั่งดังกล่าว การปิดพรมแดนต่อประเทศที่เผชิญกับความขัดแย้งหรือปัญหาภายใน อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงสำหรับพลเมืองเหล่านั้น การตัดสินใจครั้งนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อ ความสัมพันธ์ทางการทูต ของสหรัฐฯ กับประเทศที่ได้รับผลกระทบอีกด้วย


อนาคตของนโยบายตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์

คำสั่งห้ามเดินทางฉบับใหม่นี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของแนวคิดที่เข้มงวดของทรัมป์ในด้านนโยบายตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งน่าจะยังคงดำเนินต่อไปในอนาคต

ทิศทางที่เป็นไปได้ของนโยบาย

มีแนวโน้มว่าสหรัฐฯ จะยังคงใช้มาตรการที่เข้มงวดในการคัดกรองและควบคุมการเข้าออกของประชากรต่างชาติ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ การพิจารณาจากข้อมูลที่มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ การตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด และการจำกัดสิทธิ์ในการเดินทาง อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่

ความเข้มงวดที่เพิ่มขึ้น

เราอาจได้เห็นการปรับเปลี่ยนนโยบายและมาตรการอื่น ๆ ที่ทำให้การเข้าถึงสหรัฐฯ ยากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความเข้มงวดในการขอวีซ่า การลดโควตาผู้อพยพ หรือการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการตรวจสอบบุคคลที่พรมแดน

ผลลัพธ์ระยะยาวที่อาจเกิดขึ้น

ผลลัพธ์ระยะยาวของนโยบายเหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูต่อไป การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในฐานะดินแดนแห่งโอกาสและเสรีภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ


บทสรุป: ความเปลี่ยนแปลงที่ต้องจับตา

คำสั่งห้ามพลเมือง 12 ประเทศเดินทางเข้าสหรัฐฯ ในปี 2025 เป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายชายแดนของสหรัฐฯ อย่างใหญ่หลวงภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ การประกาศนี้ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว แต่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่เข้มงวดในการบริหารจัดการผู้คนข้ามพรมแดน โดยมีเหตุผลหลักมาจากความกังวลด้านความมั่นคง การคัดกรองข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ และอัตราการอยู่เกินกำหนดวีซ่าที่สูงสำหรับบางประเทศ เราคงต้องติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด เพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบในวงกว้างต่อผู้คนทั่วโลก และอนาคตของการเดินทางสู่สหรัฐอเมริกาจะเป็นอย่างไรต่อไปในยุคที่เต็มไปด้วยความท้าทายนี้


คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. คำสั่งห้ามเดินทางนี้มีผลบังคับใช้เมื่อใด? คำสั่งห้ามเดินทางนี้มีผลบังคับใช้ทันทีหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำประกาศของประธานาธิบดี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป

  2. มีข้อยกเว้นสำหรับคำสั่งห้ามเดินทางนี้หรือไม่? โดยทั่วไปแล้ว คำสั่งห้ามเดินทางมักจะมีข้อยกเว้นบางประการ เช่น ผู้ที่ถือสัญชาติสหรัฐฯ ผู้ที่ถือกรีนการ์ด หรือผู้ที่เดินทางมาด้วยเหตุผลทางการทูต อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของข้อยกเว้นสำหรับคำสั่งนี้ยังคงต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  3. ถ้าฉันเป็นพลเมืองจากประเทศที่ถูกห้ามเดินทาง และมีวีซ่าสหรัฐฯ อยู่แล้ว ฉันจะยังสามารถเดินทางได้หรือไม่? หากคุณเป็นพลเมืองจากประเทศที่ถูกห้ามเดินทางโดยสมบูรณ์ แม้ว่าคุณจะมีวีซ่าสหรัฐฯ อยู่แล้ว คุณก็อาจไม่สามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากคำสั่งนี้ระงับการรับพลเมืองจากประเทศเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบสถานะวีซ่าของคุณกับสถานทูตหรือสถานกงสุลสหรัฐฯ เพื่อความแน่ใจ

  4. คำสั่งนี้จะกระทบต่อการยื่นขอวีซ่าใหม่สำหรับพลเมืองจากประเทศที่ถูกห้ามเดินทางอย่างไร? สำหรับพลเมืองจากประเทศที่ถูกห้ามเดินทางโดยสมบูรณ์ การยื่นขอวีซ่าใหม่จะถูกระงับทั้งหมด ส่วนประเทศที่ถูกจำกัดการเดินทางบางส่วน การพิจารณาวีซ่าอาจมีความเข้มงวดมากขึ้นและมีข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป

  5. ฉันควรทำอย่างไรหากได้รับผลกระทบจากคำสั่งห้ามเดินทางนี้? หากคุณได้รับผลกระทบจากคำสั่งห้ามเดินทางนี้ ควรติดต่อทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคนเข้าเมือง หรือปรึกษากับสถานทูตหรือสถานกงสุลสหรัฐฯ ในประเทศของคุณ เพื่อขอคำแนะนำและข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับทางเลือกและขั้นตอนที่คุณสามารถดำเนินการได้

** ข้อมูลในบทความนี้อาจไม่เป็นปัจจุบัน หรือมีความคลาดเคลื่อนได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมกับแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อความถูกต้อง***

 

บทความแนะนำ:

 

ทำไมต้องเลือก First Choice Translation สำหรับการแปลเอกสารยื่นวีซ่าของคุณ?

การเลือก First Choice Translation สำหรับการแปลเอกสารยื่นวีซ่าของคุณมีเหตุผลหลายประการที่ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ โดยพิจารณาจากข้อมูลที่มีและมาตรฐานทั่วไปของศูนย์แปลเอกสารที่น่าเชื่อถือ:

  1. ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ: First Choice Translation มีประสบการณ์ในด้านการแปลและรับรองเอกสารมามากกว่า 13 ปี (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2568) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความชำนาญและความน่าเชื่อถือในการให้บริการมาอย่างยาวนาน

  2. นักแปลมืออาชีพและมีใบอนุญาต: พวกเขามีทีมนักแปลที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ รวมถึงนักแปลที่มีใบอนุญาตแปลภาษา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเอกสารราชการและเอกสารที่ต้องยื่นต่อหน่วยงานต่างประเทศ เช่น เอกสารยื่นวีซ่า เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้อง แม่นยำ และเป็นไปตามมาตรฐาน

  3. บริการรับรองเอกสารครบวงจร: นอกจากบริการแปลแล้ว First Choice Translation ยังให้บริการรับรองเอกสารแบบครบวงจร เช่น การรับรองเอกสารกับกระทรวงการต่างประเทศ (กงสุล) และสถานทูตต่างๆ รวมถึงบริการรับรองเอกสารโดยทนายความ (Notary Public) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเอกสารยื่นวีซ่าในหลายประเทศ การมีบริการครบวงจรช่วยประหยัดเวลาและความยุ่งยากในการดำเนินการหลายขั้นตอน

  4. คุณภาพและความถูกต้อง: เอกสารยื่นวีซ่าต้องการความถูกต้องแม่นยำสูง เนื่องจากข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลให้วีซ่าไม่ได้รับการอนุมัติ First Choice Translation เน้นย้ำถึงความถูกต้องและแม่นยำทางด้านไวยากรณ์ รวมถึงความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการแปลเอกสารประเภทนี้

  5. ได้รับการยอมรับจากองค์กรต่างๆ: มีการกล่าวถึงว่า First Choice Translation ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้บริการทั้งในภาครัฐและบริษัทเอกชนที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพและความน่าเชื่อถือของบริการ

  6. ครอบคลุมหลายภาษา: First Choice Translation ให้บริการแปลเอกสารได้มากกว่า 30 ภาษาทั่วโลก ทำให้สามารถรองรับความต้องการในการแปลเอกสารยื่นวีซ่าสำหรับหลากหลายประเทศปลายทาง

  7. ความรวดเร็วและตรงเวลา: นอกเหนือจากคุณภาพแล้ว ความรวดเร็วในการส่งมอบงานเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการยื่นวีซ่า ซึ่ง First Choice Translation ก็ให้ความสำคัญกับการส่งมอบงานตรงเวลา

  8. การบริการลูกค้า: มีช่องทางการติดต่อที่หลากหลาย และมีสาขาให้บริการเพื่อความสะดวกของลูกค้า

โดยสรุปแล้ว การเลือก First Choice Translation สำหรับการแปลเอกสารยื่นวีซ่าของคุณเป็นเพราะ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่ยาวนาน, ทีมนักแปลมืออาชีพและมีใบอนุญาต, บริการรับรองเอกสารแบบครบวงจรที่จำเป็นต่อการยื่นวีซ่า, การให้ความสำคัญกับคุณภาพและความถูกต้องแม่นยำ, รวมถึงการได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและองค์กรต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติวีซ่าของคุณครับ

 

ติดต่อศูนย์แปลเอกสารเฟิสท์ชอยซ์ทรานสเลชัน

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอรับบริการกับศูนย์แปลเอกสาร เฟิสท์ชอยซ์ทรานสเลชันได้แล้ววันนี้ที่
LINE OFFICIAL ACCOUNT: https://page.line.me/fc2009?openQrModal=true หรือ

สำนักงานใหญ่ สะพานควาย จตุจักร

อาคารภูมิเดชา ชั้น 4 ซอยประดิพัทธ์ 10 ถ.ประดิพัทธ์ เเขวง/เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400
โทร. 082-3256236 , 065-3958392
https://goo.gl/maps/zUrGGGGWSrtMvjDa7

ศูนย์แปลเอกสารสาขาภูเก็ต ถ.ปฏิพัทธ์ เมืองภูเก็ต

เลขที่ 7/4 ถ.ปฏิพัทธ์ ต.ตลาตเหนือ อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต 83000
โทร. 086-3669255 
https://goo.gl/maps/s21JAisaAnRPvxtHA