หนังสือเดินทาง people holding passports coronavirus vaccination card map travel with luggage trip covid 19 around world scaled พาสปอร์ต วีซ่า

วีซ่านักเรียนอเมริกาในยุคทรัมป์: ฝันที่ถูกสั่นคลอน

เคยไหมที่ความฝันอันยิ่งใหญ่ในการไปเรียนต่อต่างประเทศ โดยเฉพาะที่อเมริกา ต้องมาสะดุดกับอะไรที่ไม่คาดฝัน? ช่วงนี้ข่าวคราวเกี่ยวกับนโยบายวีซ่านักเรียนของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดูจะสร้างความกังวลใจให้กับใครหลายคนไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ? จากเดิมที่กระบวนการก็ดูจะยุ่งยากอยู่แล้ว ตอนนี้กลับมี “ปัญหาใหม่” โผล่มาให้เราต้องรับมืออีก เรามาดูกันดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น และมันจะส่งผลกระทบกับอนาคตการเรียนต่อของเรายังไงบ้าง

1. การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่: ทรัมป์กับนโยบายวีซ่านักเรียน

เรื่องมันเริ่มจากคำสั่งที่ทำเอาหลายคนถึงกับอึ้ง! รัฐบาลทรัมป์ได้ออกคำสั่งให้สถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ ทั่วโลก งดการนัดหมายใหม่สำหรับผู้สมัครวีซ่านักเรียน (F และ M) และวีซ่าโครงการแลกเปลี่ยน (J) ฟังดูแล้วใจหายเหมือนกันนะครับสำหรับน้องๆ ที่กำลังเตรียมตัวยื่นเอกสารอยู่

1.1 คำสั่งสุดช็อก: งดนัดหมายวีซ่านักเรียน

คำสั่งนี้ไม่ได้มาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยนะครับ มันเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าสหรัฐฯ กำลังจะปรับเปลี่ยนนโยบายการตรวจคนเข้าเมืองให้เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มนักเรียนและผู้เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยน ที่เคยเป็นกลุ่มที่สหรัฐฯ เปิดรับมาโดยตลอด

1.1.1 ผลกระทบโดยตรงต่อผู้สมัครใหม่

แน่นอนว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือบรรดานักเรียนต่างชาติที่กำลังวางแผนไปเรียนต่ออเมริกา หรือที่กำลังอยู่ในระหว่างการสมัครวีซ่า หลายคนคงต้องเลื่อนแผนออกไปอย่างไม่มีกำหนด หรืออาจจะต้องหันไปมองประเทศอื่นแทน น่าเสียดายจริงๆ นะครับ เพราะการเตรียมตัวเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งเรื่องการสอบภาษา การหาข้อมูลมหาวิทยาลัย การเตรียมเอกสารต่างๆ พอมาเจอคำสั่งแบบนี้เข้าไป ความฝันที่เคยวาดไว้ก็อาจจะต้องพับเก็บไปก่อน

1.2 การขยายการตรวจสอบโซเชียลมีเดีย: ยุคใหม่ของการคัดกรอง

นอกจากเรื่องการงดนัดหมายแล้ว อีกประเด็นที่น่าจับตาไม่แพ้กันก็คือ การที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มีแผนจะ ขยายการตรวจสอบโซเชียลมีเดีย ของผู้สมัครวีซ่านักเรียนและวีซ่าแลกเปลี่ยนทุกประเภท ฟังแล้วดูเหมือนหนังสายลับเลยใช่ไหมครับ? แต่ในโลกยุคดิจิทัลแบบนี้ ข้อมูลบนโซเชียลมีเดียของเราก็สามารถบ่งบอกตัวตนได้หลายอย่าง

1.2.1 เจาะลึกถึงทุกแง่มุมของชีวิตดิจิทัล

ลองจินตนาการดูสิครับว่าเจ้าหน้าที่กงสุลจะเข้ามาดูอะไรในโซเชียลมีเดียของเราบ้าง? ตั้งแต่รูปภาพที่เราโพสต์ ข้อความที่เราแชร์ หรือแม้แต่คนที่เราติดตามและคอมเมนต์บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, Twitter หรือแม้กระทั่ง TikTok ทุกอย่างอาจถูกนำมาพิจารณาเพื่อประเมิน “ความเหมาะสม” ของเราในการเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งแน่นอนว่านี่คือความพยายามที่จะสกรีนคนให้ละเอียดมากขึ้นเพื่อเหตุผลด้านความมั่นคง

2. เสียงสะท้อนจากรัฐบาล: เหตุผลเบื้องหลังความเข้มงวด

เมื่อมีคำสั่งออกมาแบบนี้ หลายคนคงสงสัยว่าทำไมรัฐบาลทรัมป์ถึงได้เข้มงวดกับเรื่องนี้ขนาดนี้? คำตอบหลักๆ ที่เราได้ยินบ่อยครั้งคือเรื่องของ “ความมั่นคงของชาติ” นั่นเอง

2.1 ความมั่นคงของชาติ: ข้ออ้างหลักของรัฐบาล

มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้กล่าวไว้ในเอกสารภายในกระทรวงว่า ทางกระทรวงกำลังพิจารณาแนวทางใหม่ในการตรวจสอบผู้สมัครวีซ่านักเรียนและวีซ่าแลกเปลี่ยน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่เข้ามาในสหรัฐฯ จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อประเทศ

2.1.1 ป้องกันภัยคุกคามและความเสี่ยง

ในมุมมองของรัฐบาล การตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้นนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันบุคคลที่อาจมีเจตนาไม่ดี หรือผู้ที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติเข้ามาในประเทศ แน่นอนว่าหลังเหตุการณ์ 9/11 สหรัฐฯ ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงอย่างมาก และนโยบายที่เข้มงวดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการควบคุมการเข้าออกประเทศนั่นเอง

2.2 การปรับเปลี่ยนภารกิจของสถานกงสุล

เอกสารภายในกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ยังระบุอีกว่า การขยายการตรวจสอบโซเชียลมีเดียจะทำให้สถานกงสุลต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินงาน และอาจต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้นในการตรวจสอบแต่ละกรณี

2.2.1 เน้นบริการพลเมืองสหรัฐฯ และการป้องกันการฉ้อโกง

มีการแนะนำให้แผนกกงสุลเน้นการให้บริการแก่พลเมืองสหรัฐฯ การออกวีซ่าผู้อพยพ และที่สำคัญคือ “การป้องกันการฉ้อโกง” เป็นหลัก ซึ่งหมายความว่าการพิจารณาวีซ่าประเภทอื่นๆ รวมถึงวีซ่านักเรียน อาจจะต้องใช้เวลามากขึ้น หรือมีขั้นตอนที่ซับซ้อนกว่าเดิม

3. กรณีศึกษา: ฮาร์วาร์ดกับการต่อสู้เพื่อนักศึกษาต่างชาติ

แม้ว่ารัฐบาลจะเข้มงวดแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมอยู่เฉยๆ นะครับ อย่างกรณีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ออกมาต่อสู้เพื่อนักศึกษาต่างชาติของพวกเขาอย่างเต็มที่ ถือเป็นบทเรียนที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของนักศึกษาต่างชาติในระบบการศึกษาของสหรัฐฯ

3.1 การเพิกถอนอำนาจรับนักศึกษาต่างชาติ: การโจมตีที่ไม่คาดฝัน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลทรัมป์ได้ดำเนินการ “เพิกถอนอำนาจ” ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในการรับนักศึกษาต่างชาติ เรื่องนี้ถือว่าร้ายแรงมากนะครับ เพราะมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมีชื่อเสียงระดับโลก และเป็นแหล่งรวมนักศึกษาหัวกะทิจากทั่วทุกมุมโลก

3.1.1 ตัวเลขนักศึกษาต่างชาติในฮาร์วาร์ด

ลองคิดดูสิครับว่า นักศึกษาต่างชาติในฮาร์วาร์ดมีจำนวนถึงประมาณ 6,800 คน หรือคิดเป็น 27% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด การที่รัฐบาลพยายามตัดสิทธิ์มหาวิทยาลัยในการรับนักศึกษาเหล่านี้ ย่อมส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงไม่เพียงแค่กับตัวนักศึกษาเอง แต่ยังรวมถึงมหาวิทยาลัยและระบบการศึกษาโดยรวมด้วย

3.2 การฟ้องร้องและคำสั่งศาล: แสงสว่างปลายอุโมงค์?

แน่นอนว่าฮาร์วาร์ดไม่ยอมแพ้ครับ ทางมหาวิทยาลัยได้ยื่นฟ้องรัฐบาลกลับทันที โดยระบุว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎหมาย และผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นข่าวดีอยู่บ้าง เมื่อศาลได้ออกคำสั่งยับยั้งคำสั่งของรัฐบาลเป็นการชั่วคราว ถือเป็นชัยชนะเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมยังคงทำงานอยู่

3.2.1 บทบาทของศาลในการปกป้องสิทธิ

กรณีนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของศาลในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหาร ศาลมีหน้าที่ปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมถึงการพิจารณาว่านโยบายของรัฐบาลนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในระบอบประชาธิปไตย

4. เสรีภาพในการแสดงออกกับการคัดกรองวีซ่า: เส้นแบ่งที่พร่าเลือน

ประเด็นที่ละเอียดอ่อนอีกประเด็นหนึ่งที่ผุดขึ้นมาควบคู่ไปกับนโยบายเหล่านี้คือเรื่องของ “เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น” กับ “การคัดกรองวีซ่า” มันคือเส้นบางๆ ที่ทำให้เกิดคำถามมากมาย

4.1 มุมมองของรัฐบาล: ความเชื่อมโยงกับการก่อการร้าย?

เจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์ได้ระบุว่า ผู้ถือวีซ่านักเรียนหรือกรีนการ์ดอาจถูกเนรเทศได้ หากแสดงการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ หรือวิจารณ์การกระทำของอิสราเอลในสงครามที่ฉนวนกาซา โดยกล่าวหาว่าการกระทำดังกล่าวเป็นภัยต่อความมั่นคงและนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และอาจตีความว่าเป็นการสนับสนุนกลุ่มฮามาส

4.1.1 การตีความ ‘ภัยความมั่นคง’ ที่กว้างขวาง

เรื่องนี้ทำให้เกิดความกังวลอย่างมาก เพราะมันหมายความว่าความคิดเห็นหรือความเห็นต่างทางการเมืองที่แสดงออกบนโซเชียลมีเดีย อาจถูกตีความว่าเป็น “ภัยความมั่นคง” และนำไปสู่การถูกปฏิเสธวีซ่า หรือแม้กระทั่งการถูกเนรเทศออกนอกประเทศได้ นี่คือการตีความที่กว้างขวางและอาจจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกของบุคคล

4.2 เสียงจากนักวิจารณ์: การละเมิดสิทธิเสรีภาพ

แน่นอนว่านักวิจารณ์ฝ่ายตรงข้ามกับทรัมป์ต่างออกมาคัดค้านอย่างหนัก โดยมองว่าความพยายามนี้เป็นการโจมตีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการคุ้มครองตามบทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับแรก

4.2.1 บทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับแรก

บทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับแรกได้ให้การคุ้มครองเสรีภาพในการพูด การแสดงออก และการรวมตัว การที่รัฐบาลพยายามจำกัดสิทธิเหล่านี้โดยอ้างเรื่องความมั่นคง จึงถูกมองว่าเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย

5. ผลกระทบต่ออนาคตการศึกษาในสหรัฐฯ: บทเรียนและทางออก

จากสถานการณ์ทั้งหมดนี้ มันกำลังบอกอะไรเราเกี่ยวกับอนาคตของการศึกษาในสหรัฐฯ กันแน่?

5.1 ความไม่แน่นอนที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ

ความเข้มงวดและไม่แน่นอนของนโยบายวีซ่า ทำให้หลายคนเริ่มลังเลที่จะเลือกสหรัฐฯ เป็นจุดหมายปลายทางการศึกษา เพราะไม่มีใครอยากลงทุนทั้งเงินและเวลาไปกับการเตรียมตัว แล้วต้องมาเจออุปสรรคที่ไม่สามารถควบคุมได้

5.1.1 ทางเลือกใหม่สำหรับนักศึกษาไทย

ดังนั้น นักเรียนไทยหลายคนอาจจะต้องเริ่มมองหาทางเลือกอื่น เช่น ประเทศในยุโรป แคนาดา ออสเตรเลีย หรือแม้กระทั่งประเทศในเอเชียที่เสนอการศึกษาที่มีคุณภาพและมีนโยบายวีซ่าที่ชัดเจนกว่า

5.2 บทบาทของมหาวิทยาลัยและองค์กรภาคประชาสังคม

ในสถานการณ์เช่นนี้ มหาวิทยาลัยและองค์กรภาคประชาสังคมในสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการออกมาปกป้องสิทธิของนักศึกษาต่างชาติ และต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงการศึกษา

5.2.1 การสนับสนุนและช่วยเหลือผู้สมัคร

พวกเขาไม่เพียงแต่ต่อสู้ในชั้นศาลเท่านั้น แต่ยังให้การสนับสนุนและช่วยเหลือผู้สมัครวีซ่าในการเตรียมเอกสาร การให้คำแนะนำ และการสร้างเครือข่ายเพื่อให้นักศึกษาต่างชาติยังคงรู้สึกปลอดภัยและได้รับการต้อนรับในสหรัฐฯ

6. บทสรุป: วีซ่านักเรียนในโลกที่เปลี่ยนไป

ดูเหมือนว่ายุคสมัยที่การขอวีซ่านักเรียนอเมริกาเป็นเรื่องง่ายๆ กำลังจะผ่านไปแล้วนะครับ นโยบายของรัฐบาลทรัมป์ได้สร้างความท้าทายและปัญหาใหม่ๆ ให้กับนักเรียนต่างชาติอย่างที่เราเห็นกัน อย่างไรก็ตาม การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและการเข้าถึงการศึกษาก็ยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีอะไรหยุดยั้งความใฝ่ฝันของเราได้หรอกครับ เพียงแต่เราอาจจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากขึ้น วางแผนให้รอบคอบขึ้น และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดโอกาสดีๆ และยังคงตามหาความฝันการศึกษาของเราต่อไปได้ ไม่ว่ามันจะอยู่ในประเทศไหนก็ตาม


คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

1. นโยบายงดนัดหมายวีซ่านักเรียนของรัฐบาลทรัมป์ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่หรือไม่? นโยบายนี้เป็นคำสั่งที่ออกมาในช่วงที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ดำรงตำแหน่ง ซึ่งสถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันที่เข้ามาบริหาร อย่างไรก็ตาม ความเข้มงวดในการพิจารณาวีซ่าอาจยังคงอยู่หรือถูกปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และนโยบายด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ

2. การตรวจสอบโซเชียลมีเดียมีผลต่อการพิจารณาวีซ่านักเรียนมากน้อยแค่ไหน? การตรวจสอบโซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคัดกรองผู้สมัครวีซ่าที่เข้มงวดขึ้น ข้อมูลในโซเชียลมีเดียของคุณอาจถูกนำมาพิจารณาเพื่อประเมินเจตนา การเข้าร่วมกิจกรรม หรือความคิดเห็นที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ดังนั้น สิ่งที่คุณโพสต์หรือแชร์บนโซเชียลมีเดียอาจมีผลต่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่กงสุลได้

3. หากสถานทูตหรือสถานกงสุลสหรัฐฯ ในประเทศไทยยังคงงดนัดหมายวีซ่านักเรียน ควรทำอย่างไร? หากสถานทูตหรือสถานกงสุลยังคงงดนัดหมายใหม่ คุณควรติดตามประกาศอย่างใกล้ชิดจากเว็บไซต์ทางการของสถานทูต/สถานกงสุล หรือติดต่อสอบถามข้อมูลจากศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศที่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ อาจพิจารณาการยื่นคำร้องขอวีซ่าจากประเทศอื่นที่เปิดรับ หากมีคุณสมบัติและเงื่อนไขที่เอื้ออำนวย

4. มีมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ที่ยังคงรับนักศึกษาต่างชาติในช่วงที่มีความเข้มงวดของนโยบายหรือไม่? ใช่ครับ มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ยังคงเปิดรับนักศึกษาต่างชาติ แต่จำนวนที่รับอาจมีการปรับเปลี่ยน และขั้นตอนการสมัครวีซ่าอาจมีความซับซ้อนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยหลายแห่งยังคงให้การสนับสนุนและช่วยเหลือในการดำเนินการด้านเอกสารและวีซ่าให้กับนักศึกษาต่างชาติอย่างเต็มที่

5. นักเรียนไทยควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อรับมือกับความเข้มงวดของนโยบายวีซ่านักเรียนสหรัฐฯ? คุณควรเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและถูกต้องตามที่สถานทูตกำหนด เตรียมความพร้อมสำหรับการสัมภาษณ์วีซ่าโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับแผนการศึกษาและวัตถุประสงค์ในการเดินทาง นอกจากนี้ ควรระมัดระวังในการใช้โซเชียลมีเดีย และหลีกเลี่ยงการโพสต์หรือแชร์เนื้อหาที่อาจถูกตีความว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือนโยบายของสหรัฐฯ

ขอบคุณที่มา

https://www.matichon.co.th/foreign/news_5203171

** ข้อมูลในบทความนี้อาจไม่เป็นปัจจุบัน หรือมีความคลาดเคลื่อนได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมกับแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อความถูกต้อง***

บทความแนะนำ:

 


ทำไมต้องเลือก First Choice Translation สำหรับบริการแปลภาษาและแปลเอกสารยื่นวีซ่าของคุณ?

การเตรียมเอกสารสำหรับการยื่นวีซ่า ไม่ว่าจะเป็นวีซ่านักเรียน วีซ่าทำงาน หรือวีซ่าท่องเที่ยว ล้วนเป็นขั้นตอนที่สำคัญและละเอียดอ่อนมาก ๆ ครับ เพราะเอกสารที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้การยื่นวีซ่าของคุณมีปัญหาได้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไม First Choice Translation จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ:

1. ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการแปลเอกสารยื่นวีซ่าโดยเฉพาะ

เราเข้าใจดีว่าเอกสารยื่นวีซ่านั้นมีความเฉพาะเจาะจงสูง ไม่ใช่แค่แปลภาษาให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์เท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจถึงบริบททางกฎหมายและข้อกำหนดของแต่ละสถานทูตด้วย ทีมงานของเราประกอบด้วยนักแปลที่มีประสบการณ์ยาวนานในการแปลเอกสารสำหรับยื่นวีซ่าประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สูติบัตร ทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส เอกสารทางการเงิน หรือเอกสารการศึกษา เรามั่นใจว่าเอกสารของคุณจะได้รับการแปลอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และตรงตามข้อกำหนดของสถานทูตที่คุณต้องการยื่น

2. ความถูกต้องแม่นยำ 100% พร้อมการรับรองเอกสาร

ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในเอกสารแปลอาจทำให้คุณเสียเวลา เสียเงิน และเสียโอกาสสำคัญไปได้ เราให้ความสำคัญกับความถูกต้องแม่นยำเป็นอันดับแรกในทุกขั้นตอนของการแปล และหากเอกสารของคุณจำเป็นต้องมีการรับรอง เช่น รับรองจากกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ หรือรับรอง Notary Public เราก็มีบริการประสานงานและดำเนินการให้คุณอย่างครบวงจร เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าเอกสารแปลของคุณจะสามารถนำไปใช้ยื่นวีซ่าได้อย่างราบรื่น ไร้ข้อกังขา

3. บริการรวดเร็วทันใจ พร้อมส่งมอบงานตรงเวลา

เรารู้ว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่า โดยเฉพาะเมื่อคุณมีกำหนดการยื่นวีซ่าที่ชัดเจน เราจึงให้ความสำคัญกับการส่งมอบงานแปลที่รวดเร็ว โดยไม่ลดทอนคุณภาพ ไม่ว่าคุณจะมีกำหนดเดดไลน์ที่กระชั้นชิดแค่ไหน เราพร้อมที่จะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้คุณได้รับเอกสารแปลตรงตามเวลาที่กำหนด เพื่อให้คุณสามารถเตรียมตัวและดำเนินการยื่นวีซ่าได้อย่างสบายใจ

4. ราคาที่สมเหตุสมผลและคุ้มค่า

เราเชื่อว่าบริการแปลภาษาคุณภาพสูงไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป First Choice Translation เสนอราคาที่ยุติธรรมและสมเหตุสมผล โดยคำนึงถึงคุณภาพของงานที่เราส่งมอบให้ เรามุ่งมั่นที่จะให้บริการที่คุ้มค่าที่สุด เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการแปลเอกสารสำหรับยื่นวีซ่าได้อย่างง่ายดาย

5. บริการให้คำปรึกษาที่เป็นกันเองและใส่ใจ

บางครั้งการเตรียมเอกสารยื่นวีซ่าก็อาจสร้างความสับสนได้ เราไม่ได้ให้บริการแค่การแปลเอกสารเท่านั้น แต่เรายังพร้อมให้คำปรึกษาและตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการเตรียมเอกสารแปลสำหรับยื่นวีซ่า ทีมงานของเราพร้อมให้คำแนะนำอย่างเป็นกันเองและใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้คุณรู้สึกสบายใจและมั่นใจในทุกขั้นตอนการทำงานร่วมกับเรา


เมื่อคุณต้องการความมั่นใจในทุกขั้นตอนของการยื่นวีซ่า ให้ First Choice Translation เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ความฝันของคุณเป็นจริง ติดต่อเราวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาและใบเสนอราคาฟรีได้เลยครับ!

 

ติดต่อศูนย์แปลเอกสารเฟิสท์ชอยซ์ทรานสเลชัน

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอรับบริการกับศูนย์แปลเอกสาร เฟิสท์ชอยซ์ทรานสเลชันได้แล้ววันนี้ที่
LINE OFFICIAL ACCOUNT: https://page.line.me/fc2009?openQrModal=true หรือ

สำนักงานใหญ่ สะพานควาย จตุจักร

อาคารภูมิเดชา ชั้น 4 ซอยประดิพัทธ์ 10 ถ.ประดิพัทธ์ เเขวง/เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400
โทร. 082-3256236 , 065-3958392
https://goo.gl/maps/zUrGGGGWSrtMvjDa7

ศูนย์แปลเอกสารสาขาภูเก็ต ถ.ปฏิพัทธ์ เมืองภูเก็ต

เลขที่ 7/4 ถ.ปฏิพัทธ์ ต.ตลาตเหนือ อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต 83000
โทร. 086-3669255 
https://goo.gl/maps/s21JAisaAnRPvxtHA