เมื่อไม่นานมานี้ มีรายงานข่าวที่สร้างความตกใจไปทั่วโลก เมื่อ Reuters ได้เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณามาตรการที่เข้มงวดเกี่ยวกับการเดินทางเข้าประเทศ โดยพุ่งเป้าไปที่พลเมืองจาก 41 ประเทศ ตามข้อมูลที่อ้างอิงจากแหล่งข่าวใกล้ชิดและเอกสารภายในที่สำนักข่าวได้รับทราบมา และ The New York Times เองก็เป็นสื่อแรกที่ออกมาเปิดเผยรายชื่อประเทศเหล่านี้ ทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิดทันที
แนวคิดเบื้องหลัง: ทำไมต้อง 41 ประเทศนี้? ระงับวีซ่า
บันทึกข้อความภายในที่ Reuters ได้เห็นนั้น ระบุรายชื่อประเทศทั้ง 41 แห่ง โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะมีระดับของข้อจำกัดวีซ่าที่แตกต่างกันไป มาดูกันว่าแต่ละกลุ่มนั้นมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง
กลุ่มที่ 1: ระงับวีซ่าสหรัฐฯ ทุกประเภท (10 ประเทศ)
กลุ่มแรกนี้จัดเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะจะถูก ระงับวีซ่าสหรัฐฯ ทุกประเภท นั่นหมายความว่า พลเมืองจากประเทศเหล่านี้จะไม่สามารถเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการท่องเที่ยว การศึกษา หรือแม้แต่การทำงาน ประเทศในกลุ่มนี้ได้แก่:
- อัฟกานิสถาน
- คิวบา
- อิหร่าน
- ลิเบีย
- เกาหลีเหนือ
- โซมาเลีย
- ซูดาน
- ซีเรีย
- เวเนซุเอลา
- เยเมน
ดูจากรายชื่อแล้ว หลายๆ ประเทศเป็นประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมือง หรือเป็นประเทศที่สหรัฐฯ มองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติในระดับสูง ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมถึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้
กลุ่มที่ 2: ระงับวีซ่าบางส่วน (5 ประเทศ)
สำหรับกลุ่มที่สองนี้ จะเป็นการ ระงับวีซ่าบางส่วน โดยจะมียกเว้นวีซ่าบางประเภท นั่นหมายความว่า พลเมืองจากประเทศเหล่านี้ยังอาจจะสามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง เช่น วีซ่าทางการทูต หรือวีซ่าฉุกเฉิน แต่สำหรับวีซ่าทั่วไปอย่างวีซ่าท่องเที่ยวหรือนักเรียนอาจจะถูกระงับ ประเทศในกลุ่มนี้ประกอบด้วย:
- เอริเทรีย
- เฮติ
- ลาว
- เมียนมา
- เซาท์ซูดาน
น่าสนใจที่ประเทศในกลุ่มนี้มี ลาว และ เมียนมา รวมอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะสร้างความกังวลใจให้กับผู้ที่กำลังวางแผนเดินทางไปสหรัฐฯ จากสองประเทศนี้อย่างแน่นอน
กลุ่มที่ 3: ระงับวีซ่าบางส่วน หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขข้อบกพร่อง (26 ประเทศ)
กลุ่มที่สามนี้เป็นกลุ่มที่มีเงื่อนไขพิเศษ คือจะถูก ระงับวีซ่าบางส่วน หากรัฐบาลของประเทศเหล่านั้น “ไม่พยายามแก้ไขข้อบกพร่องภายใน 60 วัน” นั่นแสดงว่ายังมีโอกาสที่พลเมืองจากประเทศเหล่านี้จะไม่ถูกระงับวีซ่า หากรัฐบาลของพวกเขาดำเนินการแก้ไขสิ่งที่สหรัฐฯ มองว่าเป็น “ข้อบกพร่อง” ได้ทันท่วงทีภายในกรอบเวลาที่กำหนด ประเทศในกลุ่มนี้มีจำนวนมากถึง 26 ประเทศ ได้แก่:
- แองโกลา
- แอนติกาและบาร์บูดา
- เบลารุส
- เบนิน
- ภูฏาน
- บูร์กินาฟาโซ
- กาบูเวร์ดี
- กัมพูชา
- แคเมอรูน
- ชาด
- สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
- โดมินิกา
- อิเควทอเรียลกินี
- แกมเบีย
- ไลบีเรีย
- มาลาวี
- มอริเตเนีย
- ปากีสถาน
- สาธารณรัฐคองโก
- เซนต์คิตส์และเนวิส
- เซนต์ลูเซีย
- เซาตูเมและปรินซิปี
- เซียร์ราลีโอน
- ติมอร์-เลสเต
- เติร์กเมนิสถาน
- วานูอาตู
ประเทศในกลุ่มนี้ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งจากทวีปแอฟริกา เอเชีย และหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบด้าน ไม่ได้จำกัดแค่ภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง
สถานะปัจจุบัน: ยังไม่เป็นทางการ 100%?
แม้จะมีบันทึกภายในหลุดออกมา แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ท่านหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม ได้ให้ข้อมูลว่า รายชื่อประเทศเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญคือ ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากฝ่ายบริหารอย่างเป็นทางการ ซึ่งรวมถึง มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ด้วย นี่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้หลายคนยังมีความหวังว่ามาตรการเหล่านี้อาจจะยังไม่เกิดขึ้นจริง หรือหากเกิดขึ้นก็อาจจะไม่ครอบคลุมรายชื่อประเทศทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในบันทึกเริ่มต้น
ย้อนรอยอดีต: “Travel Ban” สมัยแรกของทรัมป์
ความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดนี้คล้ายกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในระหว่างการดำรงตำแหน่งสมัยแรกของ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปี 2018 ในครั้งนั้น มีการออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อ ห้ามพลเมืองจาก 7 ประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมเข้าสหรัฐฯ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “Travel Ban” คำสั่งดังกล่าวสร้างความโกลาหลและความไม่พอใจอย่างมากทั่วโลก รวมถึงก่อให้เกิดการประท้วงและการต่อสู้ทางกฎหมายมากมาย แต่ในที่สุด คำสั่งส่วนใหญ่ก็ยังคงมีผลบังคับใช้
คำสั่งแรกในวันเข้ารับตำแหน่งสมัยที่สอง
ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันที่ 20 มกราคม ซึ่งเป็น วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งสมัยที่สองอย่างเป็นทางการ โดยสั่งการให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบชาวต่างชาติที่ต้องการเข้าสหรัฐฯ เพื่อตรวจจับภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการควบคุมชายแดนและการคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศยังคงเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลทรัมป์
นอกจากนี้ คำสั่งยังระบุให้สมาชิกคณะรัฐมนตรีหลายคน ส่งรายชื่อประเทศที่ควรระงับการเดินทางบางส่วนหรือทั้งหมดภายในวันที่ 21 มีนาคมนี้ ซึ่งก็คือรายชื่อ 41 ประเทศที่เรากำลังพูดถึงนี่แหละครับ แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้มีการวางแผนมาอย่างเป็นระบบ และไม่ได้เป็นเพียงแค่ความคิดชั่ววูบ
ความสัมพันธ์กับนโยบายปราบปรามผู้อพยพ
คำสั่งของทรัมป์เป็นส่วนหนึ่งของการ ปราบปรามผู้อพยพ ที่เขาได้ประกาศไว้ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่สร้างความแตกแยกอย่างมากในสังคมสหรัฐฯ และเวทีโลก ในการกล่าวปราศรัยครั้งหนึ่งเมื่อเดือนตุลาคม 2023 ทรัมป์ได้ประกาศชัดเจนว่าเขาจะ จำกัดพลเมืองจากฉนวนกาซา ลิเบีย โซมาเลีย ซีเรีย เยเมน และ “ที่ใดก็ตามที่คุกคามความมั่นคงปลอดภัยของเรา”
จะเห็นได้ว่ารายชื่อประเทศที่ถูกระงับวีซ่าทั้งหมดในกลุ่มแรก มีหลายประเทศที่ตรงกับที่ทรัมป์เคยประกาศไว้ตอนหาเสียง ซึ่งเน้นย้ำถึงจุดยืนที่แข็งกร้าวของเขาในเรื่องความมั่นคงของชาติและการเข้าเมือง
ความกังวลด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจ
แน่นอนว่ามาตรการเช่นนี้ย่อมสร้างความกังวลในหลายๆ ด้าน ไม่ใช่แค่เรื่องการเดินทางส่วนบุคคล แต่ยังรวมถึง ผลกระทบด้านมนุษยธรรม สำหรับผู้ที่อาจจะต้องหนีภัยสงครามหรือความขัดแย้ง และ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ที่อาจเกิดขึ้นจากการจำกัดการเดินทางและการค้าขายระหว่างประเทศ มาตรการเหล่านี้อาจนำไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ตึงเครียดมากขึ้น และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก
อนาคตของมาตรการนี้จะเป็นอย่างไร?
ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้คือติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ว่าสุดท้ายแล้วมาตรการนี้จะถูกนำมาบังคับใช้จริงหรือไม่ และหากบังคับใช้ จะครอบคลุมประเทศใดบ้าง และมีข้อจำกัดอย่างไร สิ่งสำคัญคือ การที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยอมรับว่ารายชื่ออาจเปลี่ยนแปลงได้ แสดงให้เห็นว่ายังมีการถกเถียงและพิจารณาภายในอยู่ นี่อาจเป็นโอกาสให้ประเทศที่อยู่ในกลุ่มที่สามเร่งแก้ไข “ข้อบกพร่อง” เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกระงับวีซ่า
เตรียมพร้อมรับมือ: เราควรทำอย่างไร?
สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองจากประเทศที่อยู่ในรายชื่อหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ควรทำคือ:
- ตรวจสอบข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ: ติดตามข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ทั้งจากสื่อต่างประเทศและสถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศของท่าน
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านวีซ่า: หากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจในสถานะวีซ่าของตนเอง ควรปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคนเข้าเมือง หรือตัวแทนที่ได้รับอนุญาต
- เตรียมเอกสารให้พร้อม: ไม่ว่าจะมีข้อจำกัดหรือไม่ การเตรียมเอกสารการเดินทางและวีซ่าให้พร้อมสมบูรณ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเสมอ
มาตรการเหล่านี้ย้ำเตือนให้เราเห็นว่า นโยบายการเข้าเมืองเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ความมั่นคงของชาติถูกยกขึ้นเป็นวาระสำคัญ และนโยบายของรัฐบาลแต่ละชุดก็มีผลอย่างยิ่งต่อชีวิตผู้คนทั่วโลก
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. รายชื่อประเทศทั้ง 41 ประเทศนี้ได้รับการอนุมัติแล้วหรือยัง? ยังไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ 100% ครับ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่ารายชื่ออาจมีการเปลี่ยนแปลง และยังต้องรอการอนุมัติจากฝ่ายบริหาร รวมถึงรัฐมนตรีต่างประเทศ
2. หากฉันเป็นพลเมืองจากประเทศที่ถูกระงับวีซ่าบางส่วน (กลุ่ม 3) ฉันยังมีโอกาสเดินทางไปสหรัฐฯ ได้ไหม? มีโอกาสครับ หากรัฐบาลของประเทศคุณสามารถ “แก้ไขข้อบกพร่อง” ที่สหรัฐฯ ระบุได้ภายใน 60 วันตามที่กำหนด วีซ่าบางประเภทอาจจะไม่ถูกระงับ
3. มาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อการเดินทางเพื่อธุรกิจหรือการศึกษาอย่างไร? หากมาตรการถูกบังคับใช้ตามที่ระบุไว้เบื้องต้น พลเมืองจาก 10 ประเทศในกลุ่มแรกจะไม่สามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้เลยไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์ใด ส่วนพลเมืองจาก 5 ประเทศในกลุ่มที่สอง อาจถูกระงับวีซ่าท่องเที่ยว นักเรียน และวีซ่าอื่นๆ บางประเภท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางเพื่อธุรกิจและการศึกษาโดยตรง
4. มีการจำกัดเฉพาะวีซ่าประเภทใดบ้าง? ในเบื้องต้น กลุ่มแรกจะถูกระงับวีซ่าทุกประเภท กลุ่มที่สองจะถูกระงับวีซ่าท่องเที่ยว นักเรียน และวีซ่าอื่นๆ บางประเภท ส่วนกลุ่มที่สามจะถูกระงับวีซ่าบางส่วนเช่นกัน หากไม่สามารถแก้ไขข้อบกพร่องได้
5. ฉันจะติดตามความคืบหน้าของมาตรการนี้ได้จากช่องทางใดที่เชื่อถือได้? คุณควรติดตามข่าวสารจากแหล่งข่าวหลักที่เชื่อถือได้ เช่น Reuters, The New York Times, และที่สำคัญที่สุดคือเว็บไซต์ทางการของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. Department of State) หรือเว็บไซต์ของสถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศของคุณ เพื่อรับข้อมูลที่อัปเดตที่สุดและถูกต้องที่สุดครับ
** ข้อมูลในบทความนี้อาจไม่เป็นปัจจุบัน หรือมีความคลาดเคลื่อนได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมกับแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อความถูกต้อง***
ขอบคุณที่มา
บทความแนะนำ:
- ศูนย์แปลเอกสาร-รับแปลภาษา ใกล้คุณ
- ศูนย์บริการรับแปลเอกสาร ใกล้คุณ
- ศูนย์แปลเอกสารรับรองเอกสารกงสุล ใกล้คุณ
- ศูนย์แปลเอกสารรับรองเอกสารโนตารี ใกล้คุณ
- รับแปลเอกสารทุกจังหวัด
ทำไมต้องเลือก First Choice Translation สำหรับการแปลเอกสารยื่นวีซ่าของคุณ?
การเตรียมเอกสารยื่นวีซ่าเป็นขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนและสำคัญมาก ทุกคำ ทุกประโยคต้องถูกต้องแม่นยำตามหลักการแปลและสอดคล้องกับข้อกำหนดของสถานทูต แล้วทำไมคุณถึงควรเลือก First Choice Translation มาเป็นผู้ช่วยจัดการเรื่องแปลภาษาเพื่อยื่นวีซ่าให้คุณล่ะ? มาดูกันครับ
1. ความแม่นยำและถูกต้อง: กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของวีซ่า
เอกสารยื่นวีซ่าไม่ใช่แค่การแปลคำต่อคำ แต่เป็นการถ่ายทอดความหมายและเจตนารมณ์ของเอกสารต้นฉบับให้ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด First Choice Translation เราเข้าใจดีว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลให้วีซ่าของคุณไม่ผ่านได้ เราจึงให้ความสำคัญกับ ความแม่นยำสูงสุด ในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นชื่อ-นามสกุล วันที่ ตัวเลข หรือข้อมูลเฉพาะทางต่างๆ ทีมงานแปลของเรามีประสบการณ์ในการแปลเอกสารราชการและเอกสารทางกฎหมาย ทำให้มั่นใจได้ว่างานแปลของคุณจะถูกต้องตามหลักสากลและเป็นที่ยอมรับของสถานทูต
2. ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและข้อกำหนดของสถานทูต
การแปลเอกสารเพื่อยื่นวีซ่าไม่ได้ต้องการแค่ความสามารถทางภาษาเท่านั้น แต่ยังต้องมีความเข้าใจใน ข้อกำหนดเฉพาะของแต่ละสถานทูตและกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง ของประเทศปลายทางด้วย ทีมงานของเราไม่เพียงแต่เป็นนักแปลมืออาชีพ แต่ยังเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการและข้อกำหนดเหล่านี้ เราจะช่วยตรวจสอบและแนะนำให้คุณเตรียมเอกสารที่จำเป็นและแปลได้อย่างถูกต้องตามรูปแบบที่สถานทูตต้องการ เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าหรือการถูกปฏิเสธวีซ่า
3. ประสบการณ์และความน่าเชื่อถือที่พิสูจน์แล้ว
เรามี ประสบการณ์ยาวนาน ในการให้บริการแปลเอกสารเพื่อยื่นวีซ่าให้กับลูกค้าจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จในการเดินทางไปยังหลากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวีซ่าท่องเที่ยว วีซ่านักเรียน วีซ่าทำงาน หรือวีซ่าคู่สมรส เราเข้าใจถึงความแตกต่างของแต่ละประเภทวีซ่า และสามารถปรับบริการให้เหมาะสมกับความต้องการของคุณได้ ความสำเร็จของลูกค้าคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด และเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพและบริการของเรา
4. ประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากของคุณ
การแปลเอกสารด้วยตัวเองอาจใช้เวลานานและซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณไม่คุ้นเคยกับศัพท์เฉพาะทางหรือข้อกำหนดในการแปล การใช้บริการกับ First Choice Translation จะช่วยให้คุณ ประหยัดเวลาและลดความยุ่งยาก ในการเตรียมเอกสารลงไปได้อย่างมาก คุณสามารถนำเวลาไปโฟกัสกับการเตรียมตัวสำหรับเดินทางหรือเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญกว่าได้ เราจะดูแลกระบวนการแปลทั้งหมดให้คุณอย่างมืออาชีพ ตั้งแต่การรับเอกสาร การแปล การตรวจสอบ ไปจนถึงการส่งมอบงานแปลที่พร้อมยื่น
5. บริการที่รวดเร็วและราคาที่สมเหตุสมผล
เราเข้าใจดีว่าหลายครั้งการยื่นวีซ่ามีกรอบเวลาที่จำกัด First Choice Translation มุ่งมั่นให้บริการแปลที่ รวดเร็วทันใจ โดยไม่ลดทอนคุณภาพ นอกจากนี้ เรายังเสนอ ราคาที่สมเหตุสมผลและโปร่งใส ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง คุณจะได้รับงานแปลที่มีคุณภาพสูงในราคาที่คุณพึงพอใจ
6. การดูแลลูกค้าที่เป็นเลิศ
เราเชื่อมั่นในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ทีมงานของเราพร้อมให้คำปรึกษา ตอบคำถาม และให้ความช่วยเหลือคุณตลอดกระบวนการ ไม่ว่าคุณจะมีข้อสงสัยหรือข้อกังวลใดๆ เกี่ยวกับการแปลเอกสารเพื่อยื่นวีซ่า First Choice Translation พร้อมที่จะให้ การดูแลลูกค้าที่เป็นเลิศ เพื่อให้คุณมั่นใจและสบายใจที่สุด
การยื่นวีซ่าเป็นเรื่องสำคัญ อย่าปล่อยให้ความผิดพลาดเรื่องเอกสารมาเป็นอุปสรรคในการเดินทางของคุณ เลือก First Choice Translation เป็นพาร์ทเนอร์ในการแปลเอกสารเพื่อยื่นวีซ่าของคุณ แล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างในด้านคุณภาพ ความแม่นยำ และความสบายใจครับ พร้อมแล้วที่จะให้เราช่วยจัดการเรื่องเอกสารให้คุณหรือยังครับ?
ติดต่อศูนย์แปลเอกสารเฟิสท์ชอยซ์ทรานสเลชัน
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอรับบริการกับศูนย์แปลเอกสาร เฟิสท์ชอยซ์ทรานสเลชันได้แล้ววันนี้ที่
LINE OFFICIAL ACCOUNT: https://page.line.me/fc2009?openQrModal=true หรือ
สำนักงานใหญ่ สะพานควาย จตุจักร
อาคารภูมิเดชา ชั้น 4 ซอยประดิพัทธ์ 10 ถ.ประดิพัทธ์ เเขวง/เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400
โทร. 082-3256236 , 065-3958392
https://goo.gl/maps/zUrGGGGWSrtMvjDa7
ศูนย์แปลเอกสารสาขาภูเก็ต ถ.ปฏิพัทธ์ เมืองภูเก็ต
เลขที่ 7/4 ถ.ปฏิพัทธ์ ต.ตลาตเหนือ อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต 83000
โทร. 086-3669255
https://goo.gl/maps/s21JAisaAnRPvxtHA